สำหรับของเล่นที่เราจะมาทำความรู้จักในวันนี้ เป็นของเล่นแบรนด์ดังที่ ใครก็มีไว้คอบครอง Lego ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1949 โดย Ole Kirk Christiansen ช่างไม้ชาวเดนมาร์กซึ่งหันมาผลิตของเล่นจากไม้หลังเห็นว่าของเล่นขนาดเล็กที่ทำจากเศษไม้ที่เหลือจากงานรับสร้างบ้าน และเครื่องเรือนเริ่มขายดี ซึ่งยังเป็นสาเหตุว่าทำไมตัวต่อของ Legoจึงทำจากไม้มากกว่าพลาสติก
Legoก็ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ โดยตั้งเป้าสู้กับแบรนด์ของเล่นดังที่มีสินค้าหลากหลายกว่า อย่าง HasBro และ Mattel พร้อมสร้างสวนสนุก Legoland ขึ้นอีกหลายแห่ง
แต่ทั้งหมดกลายเป็นความผิดพลาดราคาแพง โดยปี 2004 ขาดทุนหนักถึง 174 ล้านปอนด์ (ราว 6,612 ล้านบาท) ผลประกอบการต่ำเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่เพียง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 24,800 ล้านบาท) จนใกล้ล้มละลาย
Jorgen Vig Knudson เจ้าของตำแหน่ง CEO ในขณะนั้น แก้วิกฤตใหญ่สุดของLego ด้วยการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักอย่าง อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ทิ้งไป พร้อมขาย Legoland แทบทั้งหมดให้ Merlin Entertainment บริษัทสวนสนุกชื่อดัง
และหันมาผลิตของเล่นทุกอย่างเองแทบทั้งหมด ขณะเดียวกันยังย้ำเสมอว่า ของเล่นของ Legoต้องน่าสนใจจนเด็กอยากได้เพิ่ม แต่ก็ไม่ควรหลุดกรอบความเป็นตัวต่อของแบรนด์มากเกินไป
Legoภายใต้การบริหารของ Knudson ก้าวมาไกลจากแบรนด์ที่เกือบล้มละลาย โดยปี 2014 ผลประกอบการอยู่ที่ 3,840 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 119, 040 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือเพิ่มขึ้นถึง 3,040 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 94,240 ล้านบาท) จากเมื่อ 10 ปีก่อน
ปีถัดมาผลประกอบการ Legoเพิ่มขึ้นอีกเป็น 4,810 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 149,110 ล้านบาท) พร้อมตำแหน่งแบรนด์ของเล่นมูลค่าสูงสุดในโลก ด้วยตัวเลขมูลค่า 3,890 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 120,590 ล้านบาท)
ปัจจุบัน Legoกลับมาอยู่ในมือผู้บริหารที่เป็นคนในตระกูล Christiansen โดยยังคงเป็นแบรนด์ของเล่นมูลค่าสูงสุดในโลก และแบรนด์เดนมาร์กมูลค่าสูงสุด ด้วยตัวเลข 6,752 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 209,312 ล้านบาท)
ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง HasBro และ Mattel แบบไม่เห็นฝุ่น มีโรงงานทั่วโลก 5 แห่ง ซึ่งสามารถผลิตชิ้นส่วนตัวต่อพื้นฐาน (LegoBrick) รวมกันมากถึง 36,000 ล้านชิ้นต่อปี