ได้เวลาฟักไข่
ทามาก็อตจิฟักออกมาเป็นตัวเป็นตนได้จากความร่วมมือ 3 ส่วนใหญ่ ที่ประกอบด้วยคน 2 คนอย่างอากิ ไมตะ (Aki Maita) กับอากิฮิโระ โยโกอิ (Akihiro Yokoi) และอีก 1 บริษัทผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่อย่าง Bandai ที่กำลังประสบความสำเร็จในต่างแดนอย่างมาก ไอเดียแรกเริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่โยโกอิได้ดูโฆษณาในโทรทัศน์ที่มีเนื้อหากล่าวถึงลูกที่โดนแม่ดุเพียงเพราะอยากพาเต่าของตนไปทะเลด้วย จนทำให้เกิดคำถามในใจว่าจะดีแค่ไหนกันหากเราสามารถพกสัตว์เลี้ยงไปทุกที่ได้ ผนวกกับอีกเรื่องราวของไมตะ ที่ต้องการจะสร้างอุปกรณ์ที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงความรู้สึกของการได้ดูแลสัตว์เลี้ยง จากความขมขื่นในวัยเด็กของตัวเองที่อยากจะเลี้ยงสัตว์แต่ไม่ได้รับอนุญาต
ความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้เองทำให้ในที่สุดทามาก็อตจิก็ได้ฟักตัวออกมาให้ชาวโลกได้ยลโฉม แม้จะมีทฤษฎีมากมายพูดถึงที่มาของชื่อ “ทามาก็อตจิ” (Tamagotchi) บ้างว่า เป็นการผสมคำญี่ปุ่นระหว่าง Tomodachi (เพื่อน) กับ Tamago (ไข่) และบ้างก็ว่าช่วงท้ายของคำนั้นมาจากคำว่า Uotchi ในความหมายของการดูแล แต่แท้จริงแล้ว คำว่าทามาก็อตจินั้นมาจากคำว่า Tamago และ Uotchi ที่แปลความหมายว่านาฬิกา ตามรูปแบบดีไซน์แรกที่โยโกอิคิดเอาไว้ต่างหาก ทามาก็อตจิวางขายในตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 1996 โดยมีดีไซน์เป็นรูปไข่ พร้อมกับปุ่มกดเพียง 3 ปุ่มที่จะใช้คุมเกมทั้งเครื่องและสายคล้องให้มีลักษณะเหมือนพวงกุญแจ โดยก่อนหน้าที่จะวางขายก็ได้ทำการแจกจ่ายให้หนุ่มสาวในย่านชิบูย่ากว่า 200 คนได้ทดลองเล่นและศึกษาปฏิกิริยาของผู้เล่นอีกด้วย
กล่องของทามาก็อตจิรุ่นแรกที่วางจำหน่ายปี 1996 นั้นระบุไว้ว่า “ทามาก็อตจิคือสัตว์เลี้ยงจากไซเบอร์สเปซ ที่ต้องการความรักจากคุณในการอยู่รอดและเติบโต ถ้าคุณดูแลทามาก็อตจิของคุณดี มันก็จะค่อย ๆ เติบโตขึ้น สุขภาพดีขึ้นและสวยขึ้นในทุก ๆ วัน แต่หากคุณละเลยสัตว์ไซเบอร์ตัวเล็กของคุณแล้ว ทามาก็อตจิของคุณก็อาจจะโตมาดุร้ายหรือน่าเกลียดได้” ด้วยวงจรชีวิตประมาณ 12-20 วันนี้เอง ชีวิตทั้งหมดของทามาก็อตจิจึงอยู่ในมือของเจ้าของ 100% และเจ้าของจะต้องคอยฟังเสียง “บี๊บ” ที่เกิดขึ้นเพื่อคอยเช็กดูว่าสัตว์เลี้ยงของเราต้องการอะไรในช่วงการเติบโตบ้าง อาจจะเป็นการป้อนข้าว อาบน้ำ ทำความสะอาดห้อง รวมถึงการเล่นและการสอนสั่งจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องแยกจากกันชั่วนิรันดร์
ตัวของทามาก็อตจิเองยังสร้างตำนานบทใหม่ไว้ให้แก่วงการเกมหลากหลายอย่าง อาทิ การเป็นผู้บุกเบิกรูปแบบของเกมที่จะมีชีวิตในโลกของมันต่อไปไม่มีหยุดชั่วคราวแม้ในขณะที่ผู้เล่นจะกดปิดเครื่อง ซึ่งนับเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น หรือการเป็นหนึ่งในเกมแรก ๆ ที่เบลอเส้นแบ่งระหว่างโลกดิจิทัลกับโลกของความจริง ในรูปแบบของความเป็นจริงเสมือน (virtual reality) ระลอกแรก ที่สำคัญที่สุดคือการเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมแรก ๆ อีกเช่นกันที่มีการตลาดเจาะจงสำหรับเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะ
Adam Crowley ศาสตราจาย์ ณ มหาวิทยาลัยฮัสสัน เล่าถึงแผงวางขายเกมในสมัยนั้นว่า ในขณะที่คอนโซลต่าง ๆ วางอยู่บนชั้นสำหรับเด็กผู้ชาย แต่ทามาก็อตจิกลับเข้ามาเพื่อสวนกระแสและท้าทายความเป็นชายที่ท่วมท้นวงการวิดีโอเกมในยุคนั้น “ทามาก็อตจิได้เตรียมการเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนผู้ซึ่งถูกละเลยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาในอุตสาหรรมวิดีโอเกม” เขากล่าว อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็สะท้อนให้เห็นภาพสังคมในสมัยนั้นที่ยังคงผลิตซ้ำภาพจำเรื่องของบทบาททางเพศ ราวกับว่าผู้หญิงจะสามารถเล่นวิดีโอเกมได้ก็ต่อเมื่อสวมบทบาทเป็นผู้ดูแลเท่านั้น นอกจากนี้แล้วความผูกพันระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงไซเบอร์ยังทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่อย่าง “Tamagotchi Effect” ซึ่งหมายถึงพัฒนาการความผูกพันทางอารมณ์ที่มนุษย์มีต่อเครื่องจักร หุ่นยนต์ หรือซอฟต์แวร์อื่น ๆ อีกด้วย
สู่กระแสตอบรับที่เกินคาด
หลังจากทามาก็อตจิวางขายในตลาดญี่ปุ่นประมาณครึ่งปี เจ้าเครื่องเล่นนี้ก็ได้โบยบินไปอยู่บนแผงเกมในสหรัฐอเมริกาและยุโรป และได้ครองใจคนทุกเพศทุกวัยอย่างที่ไม่เคยคาดคิด “หลังจากทามาก็อตจิเปิดตัวในปี 1996 มันก็ไม่ได้เป็นเพียงของเล่นแฟชั่น แต่มันคือปรากฏการณ์ทางสังคม” โนบุฮิโกะ โมโมอิ (Nobuhiko Momoi) กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของทามาก็อตจิกล่าว
ในช่วงครึ่งปีแรกของการวางขายในตลาดญี่ปุ่น ทามาก็อตจิมียอดขายกว่า 5 ล้านชิ้น และฮ็อตหนักถึงขั้นเคยมีการเข้าคิวรอซื้อข้ามคืนกันมาแล้ว ในขณะที่ยอดขายรวมจนถึงปี 2021 นั้นก็ทะลุ 83 ล้านชิ้นไปแล้ว บริษัทผู้ผลิตอย่าง Bandai ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัจจัยแห่งความสำเร็จนี้ว่า เนื่องจากเกมนี้ดึงดูดสัญชาตญาณการเลี้ยงดูของมนุษย์ ซึ่งในที่นี้ก็คือการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงดิจิทัล และการคอยเฝ้าดูพัฒนาการ การเติบโต รวมถึงระวังไม่ให้มันตาย สิ่งนี้เองที่ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกถึงการมีความรับผิดชอบและพวกเขาก็ยอมรับมันด้วยความกระตือรือร้นอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็อาจเกี่ยวข้องกับราคาที่ไม่แพงเท่าเครื่องเล่นอื่น ๆ ในสมัยนั้นด้วย
ถึงกระนั้นความฮิตอย่างกว้างขวางนี้ก็อาจมีบางมิติที่เป็นปัญหา เพราะความหลงใหลผูกพันระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงดิจิทัลแสนรัก รวมถึงความต่อเนื่องของตัวเกมส่งผลให้เด็ก ๆ หลายคนไม่อาจละสายตาไปจากทามาก็อตจิได้แม้กระทั่งในเวลาเรียนหรือมื้อเย็นก็ตาม จนนิตยสารข่าว Germany’s Spiegel เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการโจมตีทางดิจิทัลต่อจิตวิญญาณของหนุ่มสาวเลยทีเดียว ในบางครั้งทามาก็อตจิจึงกลายเป็นสิ่งต้องห้ามในคลาสเรียน กลายมาเป็นภาระของพ่อแม่และความรับผิดชอบของครูที่ต้องแบกรับความเสี่ยงไม่ให้สัตว์เลี้ยงของเด็ก ๆ ต้องเกมโอเวอร์ไปในตอนท้ายของวัน จนขนาดที่ว่ามีอาชีพใหม่ ๆ อย่างการรับจ้างเลี้ยงทามาก็อตจิเกิดขึ้นในยุคนั้นเลยทีเดียว
ทามาก็อตจิยังได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องราวของ ‘การจากลา’ ที่อาจเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับความตายแรก ๆ ของผู้เล่นที่เป็นเด็ก โดยเฉพาะเมื่อความตายนั้นไม่ได้เกิดจากอายุขัย แต่เป็นเพราะความละเลยของเจ้าของ และอารมณ์ที่กระทบจิตใจเด็ก ๆ เหล่านี้ไม่เป็นที่อภิรมย์สำหรับผู้ปกครองนัก ภาพตอนจบของทามาก็อตจิที่ขายในสหรัฐอเมริกาจึงมีการปรับให้ “หวานแหวว” มากขึ้น โดยเปลี่ยนจากภาพหลุมฝังศพที่ปรากฏบนจอหลังจากสัตว์เลี้ยงดิจิทัลตาย มาเป็นเทวดาแห่งความตาย ไม่ก็ UFO ตัวน้อยแสนน่ารักที่มาเพื่อรับเจ้าทามาก็อตจิกลับดาวเคราะห์บ้านเกิด การจากลาครั้งนี้ยังมีการสร้างอนุสรณ์รำลึกทั้งแบบออนไซต์และออนไลน์ อย่างเช่น ในปี 1996 ที่สุสานสัตว์เลี้ยงที่พอนท์สมิลล์ได้เปิดพื้นที่เฉพาะสำหรับการฝังสัตว์เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์เป็นที่แรก และได้กระแสตอบรับล้นหลามจากทั่วโลก ทั้งจากสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส แคนาดา และสหรัฐอเมริกา
ไม่เคยหายไป
แม้กระแสของทามาก็อตจิจะเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งด้วยการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี และความโหยหาชีวิตในอดีตจากสถานการณ์โรคระบาด แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่านี่คือการกลับมาที่แท้จริง เพราะสำหรับกลุ่มคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้อย่างเหนียวแน่นนั้นแล้ว ทามาก็อตจิไม่เคยหายไปจากแผงสินค้า จากใจ หรือจากชีวิตของพวกเขาเลย ชมรมคนรักทามาก็อตจิอย่าง Tamatalk ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตลอด และมีสมาชิกกว่า 96,000 คนแล้ว เด็กหลายคนที่เติบโตมากับของเล่นอันจิ๋วนี้ยังได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีทุนทรัพย์มากพอสำหรับงานอดิเรกอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือการสะสมทามาก็อตจิรูปแบบต่าง ๆ ราเชล ลิว (Rachel Liew) หนึ่งในนักสะสมทามาก็อตจิกว่า 100 เครื่องยังมองเห็นโอกาสที่ไกลกว่านั้น เธอได้เปิดเว็บไซต์สำหรับให้มือใหม่ได้เข้ามาโหลดคู่มือศึกษาการเล่นทามาก็อตจิ และได้เปิดจำหน่ายเคสใส่ทามาก็อตจิลายน่ารัก ๆ ที่เธอถักเองควบคู่กันไป รวมถึงสินค้าอื่น ๆ ที่ใช้ประดับตกแต่งอุปกรณ์จิ๋วของตนเองให้ไม่เหมือนใครเช่นกัน
แต่กระแสที่คงอยู่ได้ก็ไม่ได้มาจากฝั่งสาวกทางเดียว เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Bandai เองก็ได้มีการปล่อยทามาก็อตจิรุ่นใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ รวมถึงมีการคอลแล็บกับตัวการ์ตูนอื่น ๆ เช่น โปเกม่อนหรือซานริโอ้ เป็นต้น ตัวเกมยังพัฒนาฟีเจอร์และรูปลักษณ์ใหม่ ๆ หลากหน้าหลายตา จนเด็ก ๆ ยุค 90 อาจต้องประหลาดใจ ทั้งการเปลี่ยนจอจากพิกเซลขาวดำเป็นสีสันสดใส หรือการเชื่อมต่อให้สัตว์เลี้ยงไซเบอร์ของตนเองและเพื่อนได้มีโอกาสเจอะเจอกัน รวมถึงการสร้างแอปฯให้เราสามารถเลี้ยงสัตว์ไซเบอร์ได้ในโทรศัพท์มือถือของเราอีกด้วย
2 รุ่นใหม่ ไฉไลกว่าเดิม
Tamagotchi Pix – ทามาก็อตจิรุ่นใหม่ที่ทำมาเพื่อเจาะตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ มีจุดเด่นนอกจากเกมและตัวละครทามาก็อตจิที่เพิ่มขึ้นคือตัวอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้น เช่น ปุ่มทัชสกรีน และมีกล้องถ่ายรูป เพื่อให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงได้เก็บภาพความทรงจำระหว่างตนเองกับทามาก็อตจิอย่างจุใจก่อนจะต้องส่งน้องกลับดาว
Tamagotchi Smart – ทามาก็อตจิรุ่นฉลองครบรอบ 25 ปี หวนคืนสู่รูปแบบไอเดียแรกเริ่มที่จะสร้างอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนนาฬิกา เพื่อให้แน่ใจว่าเหล่าผู้เลี้ยงจะไม่ปล่อยทามาก็อตจิไว้ลำพัง หน้าจอของทามาก็อตจิสมาร์ตยังเป็นแบบทัชสกรีน ใช้ลูบหัวแตะตัวน้องได้ทุกเวลา และยังสามารถใช้คำสั่งเสียงพูดคุยกับสัตว์เลี้ยงได้ เพิ่มความสนิทสนมแนบแน่นมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมอย่าง “TamaSma Card” อุปกรณ์คล้ายแฟลชไดร์ฟที่นำพาฟีเจอร์สนุก ๆ เพิ่มเติมทั้งไอเท็ม ของตกแต่ง เกม ตัวละคร และฉากหลังสวย ๆ เข้ามาสู่ทามาก็อตจิของเราเพียงแค่เสียบและดาวน์โหลด